วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

What is jQuery เจคิวรี่ คืออะไร ?

ถ้าเพื่อนๆรู้จักภาษา JavaScript ก็คงจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายมาก แต่ถ้าคนที่ยังไม่รู้ว่า JavaScript คืออะไร อันนี้ต้องคุยกันยาวเลย ผมขอข้ามไปก่อนก็แล้วกันนะครับ ผมคิดว่าคนที่ Search คำว่า jQuery ใน Google  นั้นอย่างน้อยจะต้องรู้จักกับภาษา JavaScript แน่นอน (บทความนี้จะยาวนิดหนึ่ง กดอ่านเพิ่มเติมที่  ”Continue Reading” ด้านล่างนี้ได้เลยครับ)คงมีอีกหลาย ต่อหลายคนที่ยังสงสัยว่า jQuery มันคืออะไร? ก็เลยปักหัวข้อนี้เอาไว้ก่อนเลย เวลาคนที่เข้ามาจากทาง Google และกำลังหาคำตอบจากคำว่า jQuery คืออะไร หรือ What is jQuery ? ก็จะได้เข้ามาอ่านกันตรงนี้ได้เลย จะได้หายสังสัยกันไปเลย
ภาษา JavaScript นั้นเกิดมานานพร้อมๆกับยุคแรกๆของ Internet แล้วละครับ เพื่อใช้ในการจัดการด้าน Client หรือการทำงานทางด้าน Browser นั้นเอง เราสามารถที่จะเขียนให้ Browser มันทำงานตามที่เราต้องการได้ สาเหตุที่ทำไมต้องเขียนโปรแกรมทางฝั่ง Browser ด้วยละ นั้นก็เพราะว่า พวกโปรแกรมทางด้าน Server Side นั้นไม่สามารถที่จะสั่งงาน Browser ได้โดยตรงครับ
ทำได้เพียงส่ง Script กลับมาให้ Browser ประมวลผล มันก็เลยถูกเรียกว่า ภาษา Script นั้นเอง เช่นเวลาคนเปิดเว็บอะไรสักเว็บหนึ่ง โปรแกรมทางด้าน Web Server มันก็จะส่ง Code HTML และ JavaScript นั้นกลับมาให้กับ Browser ของเรา จากนั้น Browser ของเรามันก็จะทำการประมวลผลครับ ถ้าเป็น Code HTML เราก็จะเรียกมันว่าการ Render หรือวาดภาพต่างๆที่เขียนจาก HTML อย่างเช่นแสดงรูปภาพ แสดงปุ่ม หรือ ตัวหนังสือต่างๆ ส่วนการจัดการแสดงผลเช่นสีหรือขนาด เราก็ใช้ Style Sheet จัดการอีกที
ตัวอย่าง Code HTML และ JavaScript ที่ Browser ของเราได้รับมา
พอ Browser ได้รับ Code จาก Web Server มาแล้วตามตัวอย่างด้านบน ก็ทำการประมวลผล พวก  HTML ธรรมดา ก็แสดงผลไปตามปกติ แต่พออ่านมาถึงบรรทัดของ JavaScript มันก็จะทำตามคำสั่งนั้น จากตัวอย่างเป็นการประกาศ Function init ขึ้นมา ตัว Browser มันก็เก็บลง Memory เอาไว้ว่ามี Function init() เอาไว้ให้เรียกใช้ได้นะ ส่วนจะเรียกใช้ตอนนั้นก็แล้วแต่เราจะเขียน ในตัวอย่างนี้ผมเขียนให้มันเรียกใช้ที่ Event onLoad ก็คือหลังจากที่ Browser มันโหลด DOM เสร็จแล้ว (ไม่รวมการโหลดรูปภาพจาก Tag IMG) มันก็จะทำการ เรียกใช้ Function init() ที่เราเขียนเอาไว้ขึ้นมาทันที ก็จะแสดง Popup ขึ้นมาครับ
ภาษา JavaScript นั้นเราจะต้องเขียนกันยืดยาวมาก และต้องรู้ทั้ง Event และสิ่งต่างๆอีกมากมายถึงจะสามารถเขียนได้ครบถ้วนกระบวนความ (ว่าไปนั้น) มันก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาในหัวของ Developer ท่านหนึ่ง ว่า แล้วทำไมเราจะต้องเขียนอะไรที่มันยาวๆ แถมบางอันก็เขียนเหมือนเดิมด้วย ก็เลยเกิดไอเดียในการที่จะย่อทั้งคำสั่ง และ การใช้งานที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องไปจำคำสั่งยากๆ เอาง่ายๆก็ทำงานได้แล้ว เช่น
แค่บรรทัดแรกเนี่ย ถ้าเขียนด้วย JavaScript เราจะเขียนกันได้ยืดยาวและยุ่งยากมากกกก แต่ jQuery JavaScript Framework ก็ช่วยทำให้ชีวิตเรานั้นง่ายขึ้น แค่เราจับ Object ที่เราต้องการจะทำงานกับมัน แล้วเอาไปต่อด้วย Function ต่างๆ มันก็สามารถที่จะทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง จบและง่ายมาก

ส่วนที่ว่ามันจะง่ายแค่ใหน สั้นแค่ใหน ทำให้ชีวิตดีขึ้นแค่ใหนนั้น ผมว่าเพื่อนๆไปโหลดมาลองเล่น แล้วอ่านบทความในเว็บ jQuery.in.th นี้จะดีกว่า ลงมือทดลองกันไปเลย ง่ายๆ

มาทำความรู้จักกับ Macromedia Dreamweaver 8

โปรแกรม Macromedia Dreamweaver โปรแกรมสำหรับการสร้างเว็บเพจ บริหารจัดการเว็บไซต์ รวมไปถึงการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน เนื่องจากตัว Dreamweaver มีความสามารถที่โดดเด่น ดังนี้ สามารถเขียนโปรแกรมสำหรับเว็บได้ทุกรูปแบบ เช่น ASP, ASP.Net, ColdFusion,JSP, PHP, XML, XHTML เมนูคำสั่งและเครื่องมือต่างๆ เรียกใช้งานได้ง่ายและสะดวกมีการปรับปรุงกลไกภายในให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถสร้างแอปพลิเคชันง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม สร้างเว็บเพจภาษาไทยได้ทันทีโดยไม่ต้องติดต้องโปรแกรมเสริมเพราะ Dreamweaver รองรับตัวอักษรแบบ Unicode
การเข้าสู่โปรแกรม Macromedia Dreamweaver 8
มีขั้นตอน คือ คลิกเลือก Start -> Program -> Macromedia -> Macromedia Dreamweaver 8 ในการเข้าสู่ระบบในครั้งแรกโปรแกรมจะถามรูปแบบการใช้งาน 2 รูปแบบ คือ
1. Designer หมายถึง การสร้างและออกแบบเว็บเพจโดยทั่วไป ส่วนมากนิยมเลือกรูปแบบนี้
2. Code หมายถึง วิธีการสร้างเว็บเพจที่เน้นการเขียนชุดคำสั่งเอง
 
(ข้อแนะนำ ในที่นี้ขอแนะนำให้เลือก Designer เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ)

ส่วนประกอบของหน้าต่างโปรแกรม Macromedia Dreamweaver 8
         โปรแกรม Macromedia Dreamweaver 8 มีองค์ประกอบของหน้าต่างโปรแกรม ดังต่อไปนี้
หน้าจอ Start Pageทุกครั้งเมื่อเปิดโปรแกรม Macromedia Dreamweaver 8 จะปรากฏหน้าจอเริ่มต้น (Start Page) สำหรับเปิดเอกสารเว็บเพจเดิมหรือสร้างเอกสารเว็บเพจใหม่ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
 
แต่ละส่วน มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
1. ใช้สำหรับเปิดไฟล์เอกสารเว็บเพจที่เคยใช้งานมาแล้ว (Open a Recent Item) เป็นส่วนแรกของหน้าจอเริ่มต้นใช้สำหรับเปิดงานที่เราทำค้างไว้ ซึ่งเลือกจากรายการชื่อที่แสดงอยู่ โดยโปรแกรมจะแสดงงานที่เปิดใช้บ่อยอยู่ด้านบน
2. การสร้างงานใหม่ (Create New) ในส่วนนี้เป็นการเลือกประเภทงานที่ต้องการสร้างใหม่ โดยเลือกประเภทไฟล์ต่างๆ ได้ เช่น HTML,PHP, ASP JavaScript, ASP VBScript, ASP.NET C#, ASP.NET VB, JSS, CSS หรือเลือกแบบฟอร์มอื่นๆ เป็นต้น
3. การสร้างงานตามแบบฟอร์ม (Create from Sample) เป็นสร้างเว็บเพจตามแบบฟอร์มที่โปรแกรมได้จัดไว้ให้แล้ว ซึ่งมีรูปแบบให้เลือกหลายประเภท

ส่วนประกอบของหน้าต่างโปรแกรม
         เมื่อเราเลือกประเภทการทำงานแล้ว (ในกรณีนี้ผู้สอนคลิกเลือก HTML จากส่วนของ Create New) จะปรากฏหน้าต่างการทำงานของโปรแกรม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
1. แถบชื่อเรื่อง (Titlebar) เป็นส่วนที่ใช้แสดงชื่อโปรแกรม Dreamweaver 8 และชื่อไฟล์เอกสารเว็บเพจที่กำลังทำงานอยู่
2. แถบรายการคำสั่ง (Menu Bar) เป็นส่วนที่รวบรวมรายการคำสั่งการทำงานเอาไว้ สามารถเปิดรายการคำสั่งต่างๆ ขึ้นมาใช้งานโดยคลิกที่ชื่อรายการคำสั่งแล้วเลื่อนเมาส์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการใช้งาน หากรายการคำสั่งใดมีรายการคำสั่งย่อยจะแสดงลูกศรอยู่มุมขวาของรายการ หากเลื่อนเมาส์ไปยังบริเวณดังกล่าว จะแสดงรายการคำสั่งย่อยเพื่อใช้งานต่อไป
3. แถบแทรก (Insert Bar) เป็นแถบที่ประกอบด้วยปุ่มคำสั่งที่ใช้ในการแทรกออบเจ็กต์หรือวัตถุต่างๆ ลงในเอกสารเว็บเพจ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
Common เป็นชุดคำสั่งสำหรับแทรกออปเจ็กต์ที่เรียกใช้งานบ่อยๆ ในการสร้างเว็บเพจ เช่น รูปภาพ กราฟิก ตาราง ไฟล์มีเดีย เป็นต้น
 
Layout สำหรับเลือกมุมมองในการสร้างเว็บเพจ เช่น มุมมองปกติ มุมมองแบบขยาย เพื่อให้เห็นออปเจ็กต์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
 
Forms ใช้สำหรับแทรกออปเจ็กต์ที่ใช้สร้างแบบฟอร์มรับข้อมูลจากผู้ชม เช่น ช่องรับข้อความ และฟิลด์ (Field) ชนิดต่างๆ
Text สำหรับจัดรูปแบบข้อความในเว็บเพจ เช่น หัวเรื่อง ตัวหนา ตัวเอียง จัดหัวข้อ จัดย่อหน้า และแทรกสัญลักษณ์พิเศษต่างๆ
Application สำหรับแทรกคำสั่งและการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลมาแสดงบนเว็บ
 
Flash element สำหรับนำไฟล์ Flash เข้ามาใช้งาน
 
 Favorite สำหรับจัดเก็บออบเจ็กต์ที่ชอบเพื่อความสะดวกในการใช้งาน
Show as Tabs เปลี่ยนแถบเครื่องมือให้แสดงผลในลักษณะแท็บคำสั่งเรียงต่อกันไป ลักษณะการแสดงผลจะเหมือนกับเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ เช่น Macromedia Dreamweaver MX, 2004 เป็นต้น

4. Toolbar เป็นแถบเครื่องมือที่เก็บปุ่มคำสั่งที่ต้องใช้งานบ่อยๆ ซึ่งประกอบด้วย 
 
  • Show Code View สำหรับแสดงการทำงานในรูปแบบ HTML นอกจากนี้ยังสามารถเขียนคำสั่ง HTML หรือคำสั่งภาษาสคริปต์ (Script) อื่นๆ ได้ด้วย
  • Show Code and Design สำหรับแสดงการทำงานแบบ HTML กับการแสดงพื้นที่ออกแบบ โดยจะแสดงส่วนของคำสั่งไว้ด้านบนและแสดงเว็บเพจปกติไว้ด้านล่าง
  • Show Design View สำหรับแสดงเว็บเพจคล้ายกับที่เราเห็นใจเบราเซอร์ เช่น ข้อความ กราฟิก หรือออปเจ็กต์อื่นๆ และสามารถแก้ไขเนื้อหาลงเว็บเพจได้

5. Document Area เป็นส่วนที่ใช้สำหรับสร้างหน้าเว็บเพจ โดยการใส่เนื้อหาและจัดองค์ประกอบต่างๆ นำมาวางใน Document Area และสามารถเลือกพื้นที่การทำงานได้หลายมุมมอง เช่น Show Code View,Show Code and Design View ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น
 

6. Status Bar คือ แถบแสดงสถานะที่อยู่บริเวณด้านล่างของพื้นที่สร้างงาน (Document Area) ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ทางด้านซ้ายเรียกว่า Tag Selector ใช้สำหรับแสดงคำสั่ง HTML ของส่วนประกอบในเว็บเพจที่เลือกอยู่ และทางด้านขวาเป็นส่วนที่บอกขนาดและเวลาที่ใช้ในการดาวน์โหลดเว็บเพจ
7. Properties Inspector เป็นหน้าต่างแสดงคุณสมบัติของออปเจ็กต์ที่เรากำลังเลือกในเว็บเพจ และสามารถกำหนดหรือแก้ไขคุณสมบัติของส่วนประกอบต่างๆ ในหน้าเว็บเพจได้ เช่น ข้อความ สี ขนาด ตาราง ลิงก์ เป็นต้น โดยรายละเอียดภายในหน้าต่าง Properties Inspector จะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นเรากำลังเลือกทำงานกับออปเจ็กต์ใดอยู่

Properties Inspector ของภาพกราฟิก


Properties Inspector ของข้อความ


Properties Inspector ของตาราง

8. Panels เป็นกรอบเล็กๆ บริเวณด้านขวา ประกอบด้วยเครื่องมือสำหรับใช้ทำงานต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนของ Panels จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น การจัดเก็บ Code, CSS, Behavior อีกทั้งไฟล์และโฟลเดอร์ภายในเว็บไซต์ (โดยรายละเอียดต่างๆ จะอธิบายใน Chapter ต่อๆ ไป) และเรียกขึ้นมาใช้งานโดยใช้คำสั่ง Windows จากนั้นเลือกชื่อ Panels ที่ต้องการเปิด/ปิด หรือใช้คีย์ลัดด้านหลังชื่อ Panels ก็ได้ เช่นกัน
 



หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบ เทคโนโลยี รวมถึง เป็นคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่า แอนดรอยด์ (Android) เป็นอย่างดี ซึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบันนั้น แอนดรอยด์ ถือเป็นอีกหนึ่งระบบปฏิบัติการในตลาด ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่แพ้กับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ซึ่งในวันนี้ ทีมงานได้รวบรวมเอาข้อมูล ที่อาจจะช่วยให้ หลายๆท่านที่กำลังสนใจนั้น ได้รู้จักกับ ระบบปฏิบัติการตัวนี้กันมากขึ้น ว่า แอนดรอยด์​คืออะไร และ ทำอะไรได้บ้าง ลองมาชมกันเลยครับ

แอนดรอยด์ (Android) คืออะไร?



วิธีที่จะเข้าใจว่า Android(แอนดรอยด์) คืออะไร? อย่างง่ายๆ ให้เราลองนึกถึง คอมพิวเตอร์ที่บ้านครับ ตอนนี้ใช้ Windows อะไรอยู่ครับ บางคนก็จะตอบว่า Windows 7, Windows Vista บางคนก็ตอบว่า Windows XP หรือบางคนอาจจะตอบว่า ผมไม่ใช้ Windows ผมใช้ Linux ซึ่งจะเป็น Linux รุ่นไหนก็ว่ากันไป … Windows หรือ Linux เราเรียกมันว่า ระบบปฏิบัติการ(OS) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าคอมพิวเตอร์ไม่ลง Windows ก็จะเปิดเครื่องเพื่อทำงานไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น โทรศัพท์มือถือ SmartPhone ก็เช่นเดียวกันครับ มันต้องการ OS ซึ่งใน iPhone นั้นบริษัทแอปเปิ้ลใช้ OS ที่ชื่อว่า iPhone OS ครับ ในขณะที่บริษัทกูเกิ้ล(Google) บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที อีกรายก็ได้ซุ่มพัฒนา OS ที่มีชื่อว่า Android(แอนดรอยด์) OS ขึ้นมา ซึ่ง Android(แอนดรอยด์) เวอร์ชั่น 1.0 ได้ถูกปล่อยออกมาใช้งานอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ 2008

ต้นกำเนิด แอนดรอยด์ (Android)


ย้อนไปเมื่อประมาณ เดือน ตุลาคม ปี 2003 Andy Rubin ได้ก่อตั้งบริษัท แอนดรอยด์ (Android, Inc.) พร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่ถือว่ามีความสามารถแตกต่างกันออกไปในแต่ละด้าน ร่วมกันพัฒนามาเรื่อยจนเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2550 โทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ ก็ได้ออกวางจำหน่าย ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ คือ HTC Dream

Android 4.0 หรือ Android 4.1? ตัวเลขข้างหลังคืออะไร? เพื่ออะไร?


Android(แอนดรอยด์) 4.0 เป็นหมายเลขเวอร์ชั่นของ ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ ครับ เหมือนที่ Windows มีทั้ง Windows95, Windows 2000, Windows XP, Windows Vista ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเวอร์ชั่นที่พัฒนาต่อๆกันมาของ Windows ครับ ใน Android OS เองก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ตอนนี้ Android OS มีทั้งหมด 10 เวอร์ชั่นแล้วครับและมีชื่อเล่นสำหรับเรียกง่ายๆด้วยครับ

       ซึ่ง ก็ได้แก่ Apple Pie(Android 1.0),Banana Bread(Android 1.1),CupCake(Android 1.5), Donut(Android 1.6), Éclair(Android 2.1), Froyo(Android 2.2), Gingerbread(Android 2.3), Honeycomb(Android 3.0), Ice Cream Sandwich(Android 4.0), Jelly Bean (Android 4.1) จะสังเกตุเห็นได้ว่า ชื่อรุ่นทุกรุ่นเป็นของหวานทั้งหมดเลยครับ และในรุ่น Android ที่จะพัฒนาในอนาคตซึ่งยังไม่มีการกำหนดเลขเวอร์ชั่นก็จะมีชื่อว่า Key lime pie อีกด้วย.


               

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตอบคำถามหลักปฏิบัติการใช้อินเทอร์เน็ต

นักเรียนมีหลักปฏิบัติการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไรให็เกิดประโยชน์สูงสุดเเก่ตนเองและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคม
ตอบ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตต้องมีจรรยาบรรณในการใช้อินเทอร์เน็ต มีความรับผิดชอบต่อข้อมูลที่่ส่งไป มีความซื่อสัตย์ ดังนี้
ตอบ        จรรยาบรรณของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต (Netiquette)
          1.1) จรรยาบรรณของผู้ใช้ E-Mail
                  -ต้องตรวจสอบข้อมูลเเละจำกัดจำนวนไฟล์ในตู้จดหมายตามที่เว็บกำหนด
                  -ลบข้อความที่ไม่จำเป็นทิ้งไป
                  -โอนย้ายข้อมูลที่จำเป็นไปไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือ ฮาร์ดดีสของตนเอง
                  -ไม่เก็บข้อมูลที่่จำเป็นไว้ในตู้จดหมาย เพราะอาจถูกเเอบอ่านได้ง่าย
                  -ไม่ควรส่งจดหมายกระจัดกระจายหรือจดหมายลูกโซ่ไปยังผู้รับจำนวนมาก
          1.2) จรรยาบรรณของผู้สนทนาผ่านเครือข่าย
                 -ครสนกับผู้ที่ต้องการสนทนาด้วยเท่านั้น
                 -ก่อนเรียกคู่สนทนาต้องตรวจสอบสถานะการใช้งานของคู่สนทนาก่อนเพื่อป้องกันการรบกวน       คู่สนทนา
                 -หากคู่ สนทนาไม่ตอบกับ ควรหยุดการสนทนานั้น
                 -ควรใช้วาจาที่เหมาะสมเเละสุภาพ
         1.3) จรรยาบรรณสำหรับผู้ใช้กระดานสนทนาหรือกระดานข่าว
                 -เขียนให้กระชับ ใช้ข้อความสั้นๆตรงประเด็น
                 -ไม่ควรพาดพิงหรือระเมิดถึงสถาบันชาติในทางที่ไม่ควร
                 -ไม่ควรล้วงระเมิดลิขสิทธ์ของผู้อื่น ควรอ้างอิงแแหล่งที่มา
                 -ไม่ควรสร้างข้อความเท็จ เพื่อหลอกหลวงผู้อื่น
                 -ไม่ควรใช้เครือข่ายส่วนรวมเพืี่อประโยชน์ส่วนตัว
         
 ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ผู้ใช้เท่านั้นที่จะต้องมีจรรยาบรรณ แต่หมายถึงพวกเราทุกที่จะต้องมีจรรยาบรรณในตนเองในการใช้อินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เครือข่ายคอมพิวเตอร์


เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษcomputer network; ศัพท์บัญญัติว่า ข่ายงานคอมพิวเตอร์) คือระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผลหน่วยความจำหน่วยจัดเก็บข้อมูลโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ(scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้

ชนิดของเครือข่าย

เครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อสะดวกต่อการร่วมใช้ข้อมูล, โปรแกรม หรือเครื่องพิมพ์ และยังสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องได้ตลอดเวลา ระบบเครือข่ายจะถูกแบ่งออกตามขนาดของเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันเครือข่ายที่รู้จักกันดีมีอยู่ 6 แบบ ได้แก่
  • เครือข่ายภายใน หรือ แลน (Local Area Network: LAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่นอยู่ในห้อง หรือภายในอาคารเดียวกัน

  • เครือข่ายวงกว้าง หรือ แวน (Wide Area Network: WAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกัน ในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็น กิโลเมตร หรือ หลาย ๆ กิโลเมตร

  • เครือข่ายงานบริเวณนครหลวง หรือ แมน (Metropolitan area network : MAN)

  • เครือข่ายของการติดต่อระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือ แคน (Controller area network) : CAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อกันระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ (Micro Controller unit: MCU)

  • เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal area network) : PAN) เป็นเครือข่ายระหว่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล เช่น โน้ตบุ๊ก มือถือ อาจมีสายหรือไร้สายก็ได้

  • เครือข่ายข้อมูล หรือ แซน (Storage area network) : SAN) เป็นเครือข่าย (หรือเครือข่ายย่อย) ความเร็วสูงวัตถุประสงค์เฉพาะที่เชื่อมต่อภายในกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชนิดต่างกันด้วยแม่ข่ายข้อมูลสัมพันธ์กันบนคัวแทนเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ใช้

  • อุปกรณ์เครือข่าย

    • เซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องแม่ข่าย เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลักในเครือข่าย ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและให้บริการไฟล์ข้อมูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ใน เครือข่าย โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์มักจะเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง และมีฮาร์ดดิสก์ความจำสูงกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย
    • ไคลเอนต์ (Client) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่าย เป็นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ร้องขอ บริการและเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็นคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้แต่ละคนในระบบเครือข่าย
    • ฮับ (HUB) หรือ เรียก รีพีตเตอร์ (Repeater) คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ฮับ มีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังพอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย เพราะฉะนั้นถ้ามีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากจะทำให้อัตราการส่งข้อมูลลดลง
    • สวิตช์ (Switch) คืออุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 2 และทำหน้าที่ส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตเฉพาะที่เป็นปลายทางเท่านั้น และทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือส่งข้อมูลถึงกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้น อัตราการรับส่งข้อมูลหรือแบนด์วิธจึงไม่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อแบบนี้มากกว่าฮับเพราะลดปัญหาการชนกันของข้อมูล
    • เราเตอร์ (Router)เป็นอุปรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป เราท์เตอร์จะมีตัวจัดเส้นทางในแพ็กเก็ต เรียกว่า เราติ้งเทเบิ้ล (Routing Table) หรือตารางจัดเส้นทางนอกจากนี้ยังส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายที่ให้โพรโทคอลต่างกันได้ เช่น IP (Internet Protocol) , IPX (Internet Package Exchange) และ AppleTalk นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
    • บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments) เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่าน ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layer จึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น
    บริดจ์ มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้
    • เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น
    • โมเด็ม(Modem)โมเด็มมาจากคำว่า MOdulator/DEModulator โดยแยกการทำงานออกเป็น Modulation คือการแปลงสัญญาณดิจิตอล จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ต้นทางให้กลายเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ และ Demodulation คือการเปลี่ยนจากสัญญาณอะนาลอก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อส่งต่อไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง สัญญาณจากคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณ Digital มีแค่ 0 กับ 1 เท่านั้น เมื่อเปลี่ยนมาเป็นสัญญาณอะนาลอกอยู่ในรูปที่คล้ายกับสัญญาณไฟฟ้าของ โทรศัพท์ จึงส่งไปทางสายโทรศัพท์ได้ สำหรับปัจจุบันนี้ความไวของโมเด็มจะสูงขึ้นที่ 56 Kbps ตอนแรกมีมาตรฐานออกมา 2 อย่างคือ X2 และ K56Flex ออกมาเพื่อแย่งชิงมาตรฐานกัน ทำให้สับสน ในการใช้งาน ต่อมามาตรฐานสากล ได้กำหนดออกมาเป็น V.90 เป็นการยุติความไม่แน่นอน ของการใช้งาน โมเด็มบางตัวสามารถ อัพเดทเป็น V.90 ได้ แต่บางตัวก็ไม่สามารถทำได้ สำหรับโมเด็มปัจจุบันนี้ยังมีความสามารถในการรับส่ง Fax ด้วย ความไวในการส่ง Fax จะอยู่ที่ 14.4 Kb. เท่านั้น 
    • อินเทอร์เน็ต (อังกฤษInternet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้

      การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต

      การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆ
      แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไฮไฟฟ์ และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก

      จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก


      ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 2.095 พันล้านคน หรือ 30.2 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน มีนาคม 2554) โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่างๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 44.0 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 384 ล้านคน
      หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับจำนวนประชากรรวม พบว่าทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนผู้ใช้ต่อประชากรสูงที่สุดคือ 78.3 % รองลงมาได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย 60.1 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็น 58.3 % ตามลำดับ

      อีเมล


      อีเมล (อังกฤษe-mail, email) ย่อมาจาก จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษelectronic mail) คือวิธีการหนึ่งของการแลกเปลี่ยนข้อความแบบดิจิทัล ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นหลัก ข้อความนั้นจะต้องประกอบด้วยเนื้อหา ที่อยู่ของผู้ส่ง และที่อยู่ของผู้รับ (ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่ง) เป็นอย่างน้อย บริการอีเมลบนอินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้เริ่มมีการจัดตั้งมาจากอาร์พาเน็ต (ARPANET) และมีการดัดแปลงโค้ดจนนำไปสู่มาตรฐานของการเข้ารหัสข้อความ RFC 733 อีเมลที่ส่งกันในยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 นั้นมีความคล้ายคลึงกับอีเมลในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงจากอาร์พาเน็ตไปเป็นอินเทอร์เน็ตในคริสต์ทศวรรษ 1980 ทำให้เกิดรายละเอียดแบบสมัยใหม่ของการบริการ โดยส่งข้อมูลผ่านเกณฑ์วิธีถ่ายโอนไปรษณีย์อย่างง่าย(SMTP) ซึ่งได้เผยแพร่เป็นมาตรฐานอินเทอร์เน็ต 10 (RFC 821) เมื่อ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) และเปลี่ยน RFC 733 ไปเป็นมาตรฐานอินเทอร์เน็ต 11 (RFC 822) การแนบไฟล์มัลติมีเดียเริ่มมีการทำให้เป็นมาตรฐานใน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) ด้วย RFC 2045 ไปจนถึง RFC 2049 และภายหลังก็เรียกกันว่าส่วนขยายสื่อประสมในระบบอินเทอร์เน็ตแบบอเนกประสงค์ (MIME)
      mailing lists คือ กลุ่มรายชื่อของอีเมล์ซึ่งเมื่อคุณส่งอีเมล์ไปที่ mailing lists นั้น mailing lists จะช่วยทำการกระจายไปให้กับอีเมล์ที่อยู่ในกลุ่มโดยอัตโนมัติ เช่น สมมุติว่าคุณตั้งชื่อ maling list ว่า group@domain.com แล้วก็นำเอาอีเมล์ของผู้ที่ต้องการอยู่ในกลุ่มมาลงทะเบียนไว้กับโปรแกรมจัดการ mailing list ดังนั้นเมื่อบุคคลในกลุ่ม mailing lists ส่งอีเมล์ไปที่ group@domain.com ระบบก็จะช่วยทำการกระจายให้กับทุกคนในกลุ่ม
      วิธีการสร้าง mailin lists ก็ให้เข้าไปที่  cPanel แล้วไปที่  mailing lists  จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนตาม link : 



      2.3 ประเภทเครือข่ายระยะไกล

      ระบบเครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network : WAN) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ระยะไกล เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น ระหว่างประเทศ การเชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก ติดตั้งใช้งานบริเวณกว้างมีสถานีหรือจุดเชื่อมมากมาย และใช้สื่อกลางหลายชนิด เช่น ไมโครเวฟ ดาวเทียม เนื่องจากเป็นการติดต่อสื่อสารระยะไกล อัตราการรับส่งข้อมูลจึงต่ำ และมีโอกาสผิดพลาดได้สูง การสื่อสารระยะไกล จำเป็นต้องมีอุปกรณ์แปลงสัญญาณ คือ โมเด็ม ช่วยในการติดต่อสื่อสาร และสามารถนำเครือข่าย LAN มาเชื่อมต่อกัน เป็นเครือข่ายระยะไกลได้ ตัวอย่างของเครือข่ายระยะไกล เช่น อินเทอร์เน็ต เครือข่ายระบบงานธนาคารทั่วโลก เครือข่ายของสายการบิน เป็นต้น